Home » เทคนิคการดูแลรถยนต์ » วิธีการหัดขับรถเกียร์ธรรมดา 15 ขั้นตอนง่ายๆ พร้อมภาพประกอบ

วิธีการหัดขับรถเกียร์ธรรมดา 15 ขั้นตอนง่ายๆ พร้อมภาพประกอบ

วิธีการหัดขับรถเกียร์ธรรมดา 15 ขั้นตอนง่ายๆ พร้อมภาพประกอบ

หากคุณเป็นมือใหม่ที่มีรถยนย์คันแรก หรือกำลังลองเปลี่ยนมาขับรถยนต์เกียร์ธรรดา แน่นอนว่าการหัดขับรถยนต์เกียร์ธรรมดายากกว่าการขับรถเกียร์ออโต้อยู่แล้ว คุณเคยอยากที่จะเรียนรู้พื้นฐานการขับรถด้วยเกียร์ธรรมดาหรือไม่? โชคดีที่ การเริ่มต้นหัดขับรถยนต์เกียร์ธรรมดา และการเข้าเกียร์ขั้นพื้นฐาน เป็นกระบวนการที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้

คำแนะนำต่อไปนี้จะช่วยคุณได้ในเรื่องนี้ หากคุณได้ลองอ่านบทความนี้และทำตาม เชื่อว่าการหัดขับรถเกียร์ธรรมดาก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องลองหัดขับบ่อยๆ ไม่ช้าคุณจะชำนาญไปเอง พบกับ 15 ขั้นตอนที่จะช่วยในการหัดขับรถเกียร์ธรรมดานั้นง่ายขึ้น ไปดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง

Advertisement

วิธีการหัดขับรถเกียร์ธรรมดา

Drive Manual Step 1
1. เริ่มภาคปฏิบัติ. คาดเข็มขัดนิรภัยทันทีที่เข้าภายในรถ ในระหว่างการเรียนขับรถเกียร์ธรรมดา ให้คุณหมุนหน้าต่างรถลง วิธีนี้จะช่วยให้คุณได้ยินเสียงเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น เพื่อคุณจะสามารถเปลี่ยนเกียร์ให้สัมพันธ์กับเสียงเครื่องยนต์ได้ง่ายขึ้น
  • แป้นเหยียบซ้ายสุดคือ คลัทช์ แป้นกลาง คือเบรก และแป้นคันเร่งจะอยู่ด้านขวามือสุด การจัดวางของแป้นเหยียบนี้จะเหมือนกันทั้งในรถพวงมาลัยซ้าย และพวงมาลัยขวา
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 2
2. เรียนรู้ว่าคลัทช์มีหน้าที่ทำอะไร:
  • คลัทช์ทำหน้าที่ปลดกำลังเครื่องยนต์ที่กำลังหมุนจากล้อรถยนต์ที่หมุนอยู่ เพื่อยอมให้คุณเปลี่ยนเกียร์ โดยไม่ทำให้เกิดการเสียดสีของฟันเกียร์
  • ก่อนที่คุณจะเปลี่ยนเกียร์ (เปลี่ยนขึ้น หรือลง) คลัทช์ต้องถูกกดจนสุดพื้นรถ
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 3
3. ปรับตำแหน่งของเบาะนั่งไปด้านหน้าพอให้คุณเหยียบแป้นคลัทช์ (แป้นทางซ้าย ติดกับแป้นเบรก) ได้จนสุดพื้นรถด้วยเท้าซ้ายของคุณ
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 4
4. เหยียบแป้นคลัทช์ให้ติดพื้นรถ และค้างไว้. นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะจำไว้ว่าระยะของแป้นคลัทช์แตกต่างจากแป้นเบรก และคันเร่งอย่างไร และทำความคุ้นเคยกับการปล่อยแป้นคลัทช์อย่างช้าๆ และมั่นคง
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 5
5. โยกหัวเกียร์ไปยังตำแหน่งเกียร์ว่าง. โดยปกติจะอยู่ตำแหน่งตรงกลาง ซึ่งคุณจะไม่รู้สึกสะดุดเมื่อโยกหัวเกียร์จากข้างหนึ่ง ไปอีกข้างหนึ่ง รถยนต์จะถือว่าไม่ได้ถูกเข้าเกียร์ไว้เมื่อ:
  • การเปลี่ยนเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง “หรือ”
  • แป้นคลัทช์ถูกเหยียบจนสุด
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 6
6. การสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยกุญแจ แน่ใจว่าคุณได้เหยียบแป้นคลัทช์จนสุดพื้นรถ และค้างไว้ในขณะที่คุณสตาร์ทเครื่องยนต์
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 7
7. ทันทีที่เครื่องยนต์ถูกสตาร์ท คุณสามารถถอนเท้าของคุณออกจากแป้นคลัทช์ (หากเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง)
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 8
8. เหยียบแป้นคลัทช์ให้ติดพื้นรถอีกครั้ง และโยกหัวเกียร์ไปตำแหน่งเกียร์ 1 ซึ่งมันควรอยู่ในตำแหน่งด้านบนซ้าย และโดยทั่วไปจะมีแผนผังตำแหน่งเกียร์ปรากฏอยู่บนหัวเกียร์
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 9
9. ยกเท้าของคุณออกจากแป้นคลัทช์ช้าๆ จนกระทั่งคุณได้ยินเสียงความเร็วเครื่องเริ่มตกลง. จากนั้นให้กดแป้นคลัทช์ซ้ำอีกครั้ง ทำซ้ำหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งคุณสามารถจดจำเสียงนี้ได้ นี่คือจุดที่คลัทช์กดตัวลงบนล้อตุนกำลัง หรือเรียกว่าจุด Friction Point
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 10
10. การทำให้รถออกตัว. ให้ยกเท้าของคุณจากแป้นคลัทช์ จนกระทั่งรอบเครื่องตกลงเล็กน้อย และเหยียบแป้นคันเร่งเบาๆ พยายามสร้างสมดุลระหว่างการเหยียบแป้นคันเร่งเบาๆ ในขณะที่ปล่อยแป้นคลัทช์ช้าๆ คุณอาจจะลองดูหลายๆ ครั้งเพื่อหาจังหวะเหยียบแป้นคันเร่ง และปล่อยแป้นคลัทช์ที่สัมพันธ์กัน อีกวิธี คือปล่อยคลัทช์จนกระทั่งถึงจังหวะที่กำลังของเครื่องยนต์ตกลงเล็กน้อย แล้วค่อยเหยียบแป้นคันเร่งเมื่อคลัทช์จับตัว ในตอนนี้รถจะเริ่มเคลื่อนที่ โดยวิธีที่ช่วยป้องกันไม่ให้รถดับได้ดีที่สุด คือการเร่งเครื่องยนต์ เมื่อปล่อยคลัทช์ กระบวนการนี้อาจยุ่งยากสักหน่อย เนื่องจากคุณพึ่งเรียนรู้การใช้รถเกียร์ธรรมดา ที่มี 3 แป้นเหยียบ ดังนั้นคุณควรเตรียมพร้อมที่จะดึงเบรกมือในกรณีฉุกเฉิน จนกระทั่งคุณมีความชำนาญในการขับขี่มากขึ้น
  • หากคุณปล่อยคลัทช์เร็วเกินไป รถจะกระตุก และดับ หากเครื่องยนต์มีเสียงคล้ายจะดับ ให้เหยียบคลัทช์ค้างไว้ หรือกดคลัทช์ให้ลึกขึ้นอีกเล็กน้อย ความเร็วเครื่องยนต์ที่มากเกินไป ในขณะที่ไม่ได้เหยียบคลัทช์จนสุด จะทำให้ชิ้นส่วนของคลัทช์สึกหรอก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้เกิดการลื่นไถล หรือทำให้ชิ้นส่วนคลัทช์ที่ระบบส่งกำลังไหม้
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 11
11. ในระหว่างการขับขี่รถยนต์. เมื่อรอบเครื่องของคุณถึง 2,500 – 3,000 รอบต่อนาที คุณควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 จำไว้ว่ามันมันจะขึ้นอยู่กับประเภทรถที่คุณขับขี่ว่าเครื่องวัดความเร็วรอบถูกตั้งให้เปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วรอบเท่าไหร่ เมื่อเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น เครื่องยนต์ของรถจะเริ่มเร็วขึ้น และคุณควรจดจำเสียงนี้ให้ได้ ให้เหยียบแป้นคลัทช์ และโยกหัวเกียร์จากเกียร์ 1 ลงมาด้านล่างซ้าย
  • รถบางคันมี “ไฟเปลี่ยนเกียร์” หรือตัวแสดงบนเครื่องวัดความเร็ว ที่จะแจ้งคุณเมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ เพื่อป้องกันไม่ให้คุณเร่งเครื่องยนต์เร็วเกินไป
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 12
12 เหยียบแป้นคันเร่งเบาๆ และค่อยๆ ปล่อยแป้นคลัทช์ช้าๆ
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 13
13. ทันทีที่เข้าเกียร์อยู่. และเหยียบแป้นคันเร่ง คุณควรถอนเท้าออกจากแป้นคลัทช์ การวางเท้าบนแป้นคลัทช์ และออกแรงกดบนกลไกของคลัทช์ในระหว่างขับขี่รถยนต์เป็นนิสัยที่ไม่ดี — แรงกดที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้คลัทช์สึกหรอก่อนถึงเวลาอันควร
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 14
14. เมื่อคุณต้องหยุดรถ. ให้ปล่อยเท้าขวาออกจากแป้นคันเร่ง แล้วเหยียบแป้นเบรกโดยออกแรงให้เพียงพอที่จะทำให้รถช้าลง และเมื่อรถลดความเร็วจนถึงระดับ 16 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณจะรู้สึกว่ารถเริ่มสั่น ให้คุณเหยียบแป้นคลัทช์จนสุด และโยกเกียร์ไปตำแหน่งเกียร์ว่างเพื่อไม่ให้รถดับ
ตั้งชื่อภาพ Drive Manual Step 15
15. ทันทีที่คุณมีความชำนาญ การขับรถเกียร์ธรรมดาจะเป็นเรื่องสนุก. คุณสามารถเร่งเครื่องยนต์ในตำแหน่งเกียร์ใดก็ตาม เพื่อสร้างความรู้สึกถึงความแรงของรถที่เพิ่มมากขึ้น หรือหากคุณต้องการขับรถให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น ให้คุณเปลี่ยนเกียร์ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ

เคล็ดลับในการหัดขับรถยนต์เกียร์ธรรมดา

  • แน่ใจว่าไม่ได้วางเท้าซ้ายไว้บนแป้นคลัทช์ในระหว่างการขับขี่
  • อย่าให้สิ่งใดมารบกวน ในระหว่างขับรถ เช่น ส่งข้อความ นี่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิต หากคุณประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
  • แน่ใจว่าคุณเหยียบแป้นคลัทช์จนสุดก่อนเปลี่ยนไปเกียร์ลำดับถัดไป หรือต่ำลง
  • จดจำเสียงของเครื่องยนต์ของคุณว่าจังหวะไหนควรเปลี่ยนเกียร์ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องวัดความเร็วรอบ
  • หากคุณประสบปัญหาในการทำให้รถออกตัว แน่ใจว่าคุณปล่อยคลัทช์ช้าๆ ให้คุณหยุดที่จุด friction point (ตอนที่เครื่องยนต์เริ่มออกตัว) และค่อยๆ ถอนเท้าออกจากคลัทช์ช้าๆ
  • ตรวจสอบรอบเครื่องยนต์ และเปลี่ยนเกียร์ให้สัมพันธ์กัน ยกตัวอย่างเช่น เปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 ที่รอบเครื่องยนต์ 2,000 รอบต่อนาที เกียร์ 3 ที่รอบเครื่องยนต์ 3,000 รอบต่อนาที และเกียร์ 4 ที่รอบเครื่องยนต์ 4,000 รอบต่อนาที จนกระทั่งเสียงของเครื่องยนต์ไม่คำราม เพื่อรอการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้สูงขึ้น ดังนั้นจงให้ความสนใจกับเสียงของเครื่องยนต์
  • หากไม่มีแผนผังตำแหน่งเกียร์ปรากฏอยู่บนหัวเกียร์ แน่ใจว่าคุณได้ถามคนที่คุ้นเคยกับรถรุ่นนั้นๆ ว่าระบบเกียร์ถูกจัดวางไว้อย่างไร สิ่งที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้น คือถอยหลังชนสิ่งของ (หรือบางคน) เมื่อคุณคิดว่าคุณได้เข้าเกียร์ 1 เพื่อเดินหน้า
  • เมื่อคุณต้องขับผ่านเนินหลังเต่า คุณควรเหยียบคลัทช์ค้างไว้ และเหยียบเบรกเล็กน้อยเพื่อทำให้รถชะลอตัว และเมื่อผ่านเนินให้ปล่อยคลัทช์ค่อยๆ และเหยียบแป้นคันเร่งเพื่อทำให้รถเคลื่อนตัวต่อไป
  • คุณอาจต้องเข้าเกียร์ 1 เมื่อจอดรถ นอกเหนือจากการใส่เบรกมือ
  • หากคุณรู้ล่วงหน้าว่าคุณจะต้องจอดรถบนทางลาด ให้คุณพกก้อนอิฐ หรือหินใส่รถไว้ เพื่อวางไว้ด้านหลังของล้อรถยนต์ (“ด้วยความระมัดระวัง”) มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำแบบนี้ทุกครั้ง เนื่องจากเบรกมือ จะเหมือนกับชิ้นส่วนอื่นๆ ของรถยนต์ ที่จะสึกหรอตามอายุการใช้งาน และจะไม่สามารถทำให้รถของคุณหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ หากจอดไว้บนเนินเขาที่ชันมากๆ
  • หาอุณหภูมิลดต่ำมากๆ ไม่แนะนำให้ทิ้งรถไว้เป็นเวลานานๆ โดยใส่เบรกมือไว้ ความชื้นจะทำให้เบรกจับตัวแข็ง และทำให้การปลดเบรกมือทำได้ลำบาก
  • คำเรียกเหล่านี้มีความหมายเหมือนกัน ได้แก่ “เกียร์ที่ใช้มือบังคับ” “เกียร์กระปุก” และ “เกียร์ธรรมดา”
  • อย่าขับรถบนถนน จนกระทั่งคุณมีความชำนาญในการเข้าเกียร์ 1 และเกียร์ถอยหลัง ให้คุณฝึกฝนการขับขี่รถยนต์โดยปราศจากการเหยียบแป้นคันเร่ง เมื่อปล่อยคลัทช์ และฝึกฝนอีก 100 ครั้ง ทั้งแบบเหยียบแป้นคันเร่ง และไม่เหยียบ โดยให้ทำเหมือนกันกับเกียร์ถอยหลัง หลังจากนั้นคุณจะพร้อมที่จะขับออกสู่ถนน
  • หากรถของคุณเหมือนจะดับ หรือเครื่องยนต์มีอาการคล้ายการสะอึก ให้เหยียบคลัทช์ซ้ำอีกครั้ง และคอยจนเสียงเครื่องยนต์เป็นปกติ และทำตามขั้นตอนใหม่อีกครั้ง
  • ฝึกฝนจนกระทั่งคุณสามารถเปลี่ยนเกียร์โดยไม่ต้องมองไปที่เกียร์ เพื่อคุณจะได้มีสมาธิอยู่กับถนน

วิธีการหัดขับรถเกียร์ธรรมดา 15 ขั้นตอนง่ายๆ พร้อมภาพประกอบ

Advertisement

ข้อควรระวังในการหัดขับรถยนต์เกียร์ธรรมดา

  • สังเกตหากคุณอยู่บนพื้นที่ที่เป็นเนินเขา หรือสูงชัน. รถคุณสามารถไหลถอยหลัง และชนคน หรือวัตถุด้านหลังรถคุณ หากคุณไม่เหยียบเบรก และคลัทช์ค้างไว้
  • หยุดรถให้สนิท ก่อนเปลี่ยนเกียร์ถอยหลัง ไม่สำคัญว่ารถของคุณจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางไหน การเปลี่ยนเกียร์ถอยหลัง ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชุดเกียร์ธรรมดา
  • เมื่อคุณทำเครื่องดับหลายๆ ครั้ง และพยายามสตาร์ทเครื่องใหม่อีกครั้ง ให้เวลาสตาร์ทเตอร์ และแบตเตอรี่อย่างน้อย 5 – 10 นาที เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เครื่องยนต์ร้อนจนเกินไป และทำให้สตาร์ทเตอร์เสียหาย และแบตเตอรี่รถยนต์หมดไฟ
  • จับตาดูเครื่องวัดความเร็วรอบ จนกระทั่งคุณรู้สึกคุ้นเคยกับการใช้งาน การขับรถเกียร์ธรรมดาต้องใช้ประสบการณ์มากกว่าเกียร์อัตโนมัติ โดยการเร่งเครื่องยนต์มากเกินไป อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเครื่องยนต์
  • การหยุดรถสนิท ก่อนเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จากถอยหลัง ไปเป็นเกียร์เดินหน้าเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนเกียร์ธรรมดาจากตำแหน่งถอยหลัง ไปเกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 สามารถทำได้ในระหว่างที่รถกำลังถอยหลังด้วยความเร็วต่ำ แต่ไม่แนะนำให้ทำ เนื่องจากมันอาจทำให้คลัทช์เกิดการสึกหรอมากเกินไป

เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับวิธีการหัดขับรถเกียร์ธรรมดา ไม่ยากเกินไปใช่มั้ยล่ะ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ผู้ขับขี่ควรที่จะฝึกให้ชำนาญเสียก่อนถึงจะออกไปขับบนถนนที่มีรถเยาะๆ เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมถนน เราหวังว่าวิธีการขับรถยนต์เกียร์ธรรมดาที่มาเสนอนั้น จะช่วยให้หลายๆคนที่กำลังฝึกหัดขับรถเกียร์ธรรมดาอยู่ชำนาญมากยิ่งขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูจาก https://th.wikihow.com/

User Rating: 5 ( 1 votes)