วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการหัดขับรถง่ายๆ โดยไม่ต้องไปเรียนที่โรงเรียนสอนขับรถ การขับรถเป็นหนึ่งของทักษะที่มีประโยชน์มากที่สุดในโลก แต่ก่อนที่จะเริ่มขับได้ คุณควรระลึกไว้ว่า การขับรถบนท้องถนน ต้องมีความระมัดระวัง ถือเป็นอภิสิทธิ์ร่วมกันทางกฎหมาย ไม่ใช่สิทธิส่วนบุคคล หากคุณควรรู้จักมีความรับผิดชอบก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องออกไป กฎและระเบียบต่างๆ ของการขับรถ อาจจะดูยุ่งเหยิง แต่หากคุณฝึกขับรถค่อยๆ เรียนรู้การขับรถไปเรื่อยๆ ในเวลาไม่นานนัก คุณก็จะขับรถได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญบนท้องถนน
หากมือใหม่หัดขับรถในช่วงแรกๆ ควรสังเกตุวิธีการขับรถของคนใกล้ชิด หรือสอบถามเทคนิคบางข้อ มือใหม่หัดขับรถควรจะสังเกตุล่วงหน้ารอบๆ คอยดูว่ามีคนกำลังเปิดประตูลงจากรถหรือไม่ หรือมีคนขี่จักยานข้างๆรึเปล่า หรือผู้คนที่อยู่ริมถนน และเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด จงมีสติ และเตรียมพร้อมในการรับมือเสมอ หากทัศนะวิสัยถูกบดบังควรระมัดระวัง ก่อนที่จะเลี้ยวหรือจอด เรามาเริ่มกันเลยกับการฝึกขับรถในแต่ละขั้นตอนที่ควรรู้ รวมถึงวิธีการหัดขับรถเกียร์ออโต้และวิธีการหัดขับรถเกียร์ธรรมดา มาดูกันเลย
วิธีการหัดขับรถ 5 ขั้นตอนง่ายๆ
การฝึกขับรถขั้นตอนที่ 1
- อ่านคู่มือการขับขี่ของกรมขนส่งฯ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอำนวยการในด้านการขับขี่และจราจร หากคุณไม่ศึกษาไว้ให้ดี ก็ไม่มีสิทธิได้รับใบขับขี่ และอาจทำผิดกฎจราจรอีกด้วย
- กฎบางอย่างที่คนทั่วไปรู้กันดีอยู่แล้ว ก็มีอย่างเช่น: หยุดหรือชะลอรถให้คนข้ามถนน ปฏิบัติตามสัญญาณจราจร ขับในความเร็วที่กำหนด และคาดเข็มขัดนิรภัย
- ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา หากยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ต้องมีผู้ปกครองเซ็นยินยอมด้วย
- คุณต้องสอบข้อเขียนหรือทฤษฎี เกี่ยวกับกฎจราจรต่างๆ ให้ผ่านก่อน
- คุณต้องสอบภาคปฏิบัติหลังจากที่ผ่านข้อเขียนแล้ว นอกจากนี้ ในบางประเทศ คุณต้องไปเข้าอบรมขับให้ครบจำนวนชั่วโมงที่กำหนดก่อน จึงจะได้รับใบขับขี่
- ในชั้นเรียนมัธยมบางแห่ง จะมีวิชาที่สอนหรือให้ความรู้เกี่ยวกับการขับขี่ด้วย
- คุณควรจะมีผู้ใหญ่ หรือคนที่ขับคล่องแล้วและบรรลุนิติภาวะ นั่งไปกับคุณด้วยในช่วงแรกๆ เพื่อคอยให้คำแนะนำต่างๆ แก่คุณได้ระหว่างทาง โดยไม่หงุดหงิด การออกไปคนเดียวอันตราย บางครั้งคุณอาจจะลืมอะไรไปบ้าง พวกเขาอาจช่วยคุณได้
- หาถนนในซอย หรือพื้นที่โล่งๆ เช่น ลานจอดรถใหญ่ๆ ในช่วงบ่ายวันธรรมดา พยายามเรียนรู้จังหวะเร่ง จังหวะเบรก และการควบคุมรถขั้นพื้นฐานให้แน่น รถแต่ละคันนั้นต่างกัน คุณจึงควรทำความคุ้นเคยกับรถของคุณเองด้วย
ขั้นตอนที่ 2 เตรียมตัวขับอย่างปลอดภัย
- ลองมองกระจกด้านข้างและกระจกมองหลัง จากนั้นปรับให้อยู่ในมุมที่เห็นรถทั้งสองข้างและข้างหลังได้ชัดเจนที่สุด อย่าไปขยับกระจกเอาตอนกำลังขับ เพราะคุณจะเสียสมาธิได้ง่าย
- คาดเข็มขัดนิรภัย แม้ว่าในบางประเทศหรือบางพื้นที่ อาจไม่เข็มงวดเรื่องนี้มากนัก แต่คุณควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งให้เป็นนิสัย เพื่อจะได้ไม่ถูกจับปรับ และที่สำคัญ เพื่อความปลอดภัยของคุณเองในกรณีที่เกิดอุบัติ
- เช็คไฟบนหน้าปัด. ตรวจสอบให้ดีว่า รถของคุณพร้อมวิ่งและไม่มีสัญญาณไฟใดๆ บนหน้าปัดแจ้งเตือนให้ซ่อมหรือแก้ไขก่อน
- ปรับที่นั่งให้สบาย เหมาะกับตัวคุณ และลองเหยียบเบรก/คันเร่ง ให้ถนัดมากที่สุด รวมถึงมุมมองต่างๆ
- อย่าไปสนใจโทรศัพท์มือถือ ห้ามแชทหรือส่งข้อความใดๆ หาใครก็ตาม ในขณะกำลังขับขี่ พยายามจอดหรือคุยให้เสร็จก่อนที่จะขับออกไป หรือคุยทีหลังก็ได้ คุณอาจจะปิดโทรศัพท์ไปเลยก็ดีในขณะขับขี่
- เปิดเพลงหรือวิทยุเบาๆ หน่อย เพลงเบาๆ ฟังสบาย จะช่วยให้โฟกัสได้ดีกว่า
- อย่าแต่งหน้าหรือเซ็ทผมใดๆ ในขณะกำลังขับ ทำให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะสตาร์ทรถ
ขั้นตอนที่ 3 วิธีการขับรถเกียร์ออโต้
- ปลดเบรกมือ
- เหยียบเบรก
- เสียบกุญแจและบิดเพื่อสตาร์ท
- หากจะออกตัวไปข้างหน้า ก็เข้าเกียร์ D
- หากจะเลื่อนถอยหลังก่อน เช่น กรณีที่รถจอดอยู่โดยหันท้ายออก ก็เข้าเกียร์ R
- เวลาถอยรถ มองกระจกหลังให้ดี จากนั้น เอื้อมแขนซ้ายไปวางบนพนักพิงไหล่ของเบาะข้างคนขับ เพื่อจะได้เอี้ยวซ้ายไปมองหลังได้ด้วย
- ค่อยๆ แตะคันเร่งเพื่อเร่งความเร็วทีละนิด
- หากรถที่อยู่รายล้อมคุณบนท้องถนนขับช้ากว่าที่กำหนด ก็พยายามขับด้วยความเร็วเดียวกันไปก่อน เพื่อป้องกันการชน
- หากรถเหล่านั้นขับเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด คุณก็ไม่จำเป็นต้องขับตาม หรือฝ่าฝืนกฏ แต่อย่างน้อย ควรจะเร่งให้เร็วขึ้นสักนิด เพื่อป้องกันไม่ให้กีดขวางหรือส่งผลกระทบต่อคันอื่นๆ
- จำไว้ว่า การขับรถช้าเกินไป ก็อันตรายพอๆ กับขับเร็วเกินไปนั่นแหละ
- เร่งความเร็วอย่างมั่นคง อย่าเหยียบแรงเกิน ไม่งั้นรถจะพุ่งหรือกระชาก รถแต่ละคันมีระดับคันเร่งและอัตราเร่งต่างกัน
- จับพวงมาลัยสองมือตลอดเวลา
- มือแต่ละข้าง อยู่ในตำแหน่ง 8 และ 4 นาฬิกา หรืออาจจะ 9 และ 3 นาฬิกา ขึ้นอยู่กับความถนัด ในท่าแบบนี้ คุณจะสามารถควบคุมพวงมาลัยได้ง่ายกว่า และเตรียมพร้อมสำหรับการเลี้ยวแบบกะทันหัน
- เวลาจะเลี้ยว ให้หมุนพวงมาลัยลงไปทางด้านที่คุณจะเลี้ยว โดยใช้มืออีกข้างหมุนขึ้นด้วย เทคนิคนี้เรียกว่าการบังคับแบบ ขึ้น-ลง
- เวลาที่จะเลี้ยวแบบหักศอกขณะกำลังวิ่งช้าๆ ให้ใช้เทคนิคการเลี้ยวแบบไขว้มือ คือ ยังคงหมุนไปในทางเดิม แต่ให้เอามือข้างหมุนลง เอื้อมไปจับพวงมาลัยด้านที่หมุนขึ้น เพื่อช่วยให้หมุนได้ถนัดขึ้นขณะเลี้ยว
- พยายามขับให้ห่างอย่างน้อย 1 ช่วงคัน ต่อจากคันหน้า เผื่อเวลาเบรกกะทันหัน จะได้ไม่ชนกัน
- เวลาขับเร็ว คุณควรเผื่อระยะให้มากกว่า 1 ช่วงคัน เพื่อการเบรกที่ปลอดภัย โดยอาจใช้เทคนิค 2 วินาที นั่นคือคุณควรอยู่ห่างจากคันหน้าประมาณ 2 วินาที จึงจะถือว่าเป็นระยะปลอดภัย แต่ต้องคำนึงถึงสภาพท้องถนนและดินฟ้าอากาศด้วย
- พยายามอย่าเบรกกะทันหัน นอกจากกรณีฉุกเฉิน การเบรกกะทันหันจะทำให้คันหลังพุ่งชนคุณได้
- ขณะที่กำลังอยู่ห่างจากจุดที่จะเลี้ยว (ทั้งซ้ายและขวา) ประมาณ 30.5 เมตร
- ให้สัญญาณก่อนที่จะเปลี่ยนเลน ประมาณ 5 วินาที
- ก่อนที่จะเลี้ยวตามจุดโค้งต่างๆ ในที่จอดรถ
- เมื่อต้องการเปลี่ยนทิศทาง
- กฎทั่วไป คือ หากคุณสงสัยว่าตอนนี้ควรจะเปิดไฟหน้าได้หรือยัง ให้ตอบว่าใช่ เอาไว้ก่อนเสมอ
- ลองมองดูรถคนอื่นๆ บนท้องถนน หากพวกเขาเริ่มเปิดไฟหน้ากันแล้ว คุณก็ควรเปิดได้แล้ว
- จำไว้ว่า รถรุ่นใหม่บางคัน มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติในแต่ละสถานการณ์ หากรถของคุณไม่มีระบบดังกล่าว ควรเช็คไฟหน้าว่าปิดทุกครั้งเวลาที่จอดรถ ไม่งั้นจะเปลืองแบตเตอรี่มาก
- คุณยังสามารถพ่นน้ำเพื่อใช้ที่ปัดน้ำฝน ทำความกระจกหน้าได้ด้วย
- อย่า ขับรถ หากที่ปัดน้ำฝนเสีย การขับขณะฝนตกหนัก โดยไม่มีที่ปัดน้ำฝน เป็นอันตรายมาก
- S: SIGNAL ให้สัญญาณไฟเลี้ยวบอกคันอื่น
- M: MIRROR มองกระจกข้างว่ามีคันอื่นประชิดขึ้นมาไหม
- O: OVER-THE-SHOULDER หันไปมองข้างหัวไหล่เพื่อความชัวร์อีกที
- G: ไปได้
- หาที่จอดเหมาะๆ หยุดรถด้วยการแตะเบรก
- เข้าเกียร์ P
- ดับเครื่อง
- ดึงเบรกมือ
- อย่าลืมปิดไฟหน้า
- ล็อกรถให้เรียบร้อย ป้องกันโจร
- ลงจากรถ และดูให้มั่นใจอีกทีว่าจอดได้ตรง
ขั้นตอนที่ 4 วิธีการหัดขับรถเกียร์ธรรมดา
- ขั้นตอนการตรวจเช็ครถก่อนขับ เช่น การปรับเบาะนั่งและกระจก รวมถึงขจัดสิ่งรบกวน
- การเปิดไฟเลี้ยวอย่างเหมาะสม
- วิธีการเปลี่ยนเลน
- สถานการณ์ที่ต้องใช้ที่ปัดน้ำฝนและไฟหน้า
- ตำแหน่งการวางมือบนพวงมาลัย
- คลัทช์: ส่วนประกอบนี้มีไว้ควบคุมการประสานงานระหว่างเครื่องยนต์กับกระปุกเกียร์ การเหยียบคลัทช์จะเป็นการถอนคลัทช์ออกมา เพื่อตัดขาดแรงฉุดของเครื่องยนต์ออกจากกระปุกเกียร์ ส่วนการปล่อยคลัทช์ จะเป็นการเชื่อมเครื่องยนต์กับกระปุกเกียร์อีกครั้ง ซึ่งในขณะที่เหยียบคลัทช์ รถของคุณจะอยู่ในสภาพเดียวกับเกียร์ว่าง ไม่ว่าขณะนั้นจะกำลังเข้าเกียร์ใดๆ อยู่หรือไม่ก็ตาม ส่วนเวลาปล่อยคลัทช์ก็จะทำให้รถอยู่ในเกียร์ปัจจุบันที่เข้าเอาไว้นั่นเอง
- คันเกียร์: การเข้าเกียร์ ทำได้โดยเลื่อนแท่งคันโยก ซึ่งอาจจะเรียกว่าคันเกียร์ แท่งเกียร์ คานเกียร์ ตัวเลื่อนเกียร์ หรืออะไรก็ได้ แต่ความหมายเดียวกัน หมายเลขเกียร์และทิศทางการเข้าเกียร์ อาจแตกต่างกันไปในรถแต่ละรุ่น แต่โดยมาตรฐานแล้ว จะต้องมีเกียร์ N หรือเกียร์ว่างอยู่เป็นหลักเหมือนกันหมด และตามด้วยเกียร์ 1-5 หรือ 1-6 แล้วแต่รุ่น สุดท้ายก็คือเกียร์ถอยหรือ R นั่นเอง
- เริ่มด้วยการเหยียบคลัทช์ ปกติแล้วรถเกียร์ธรรมดาจะสตาร์ทไม่ติด หากไม่เหยียบคลัทช์ก่อน
- หลังจากที่สตาร์ทรถแล้ว ให้เหยียบเบรกไว้และปลดเบรกมือ
- ถ้าจะเดินหน้า ก็เลื่อนคันเกียร์ไปที่เกียร์ 1 หากจะถอยหลังก็ไปที่เกียร์ R
- ขณะที่ค่อยๆ ปล่อยคลัทช์ ก็ค่อยๆ เหยียบคันเร่งไปพร้อมๆ กันด้วย
- คุณจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์เร่งขึ้น และอาจจะได้ยินหรือรู้สึกถึงคลัทช์ที่กำลังทำหน้าที่เชื่อมต่อ หากรถเคลื่อนไปได้โดยไม่หน่วง แสดงว่าคุณทำได้ดีแล้ว! คุณสตาร์ทเครื่องและสอบผ่านเกียร์หนึ่งแล้ว
- คุณต้องเข้าเกียร์ตามขั้นตอนนี้ คือ เหยียบคลัทช์เพื่อคลายมันออกจากกระปุกเกียร์ โยกคันเกียร์เพื่อเลื่อนเกียร์ ค่อยๆ ปล่อยเท้าออกจากคลัทช์ช้าๆ เพื่อให้คลัทช์ทำงาน โดยรู้สึกถึงแรงดันที่น้อยลงเรื่อยๆ ในขณะที่เท้าอีกข้างเหยียบคันเร่ง
- พยายามนึกภาพหรือรู้สึกถึงแรงดันของเท้าที่ใช้เหยียบคลัทช์ กับเท้าที่ใช้เหยียบคันเร่ง ให้มีน้ำหนักสอดรับกัน คล้ายๆ การเล่นไม้กระดกกันระหว่างสองฝั่ง เมื่อฝั่งหนึ่งขึ้น อีกฝ่ายหนึ่งก็ลงด้วยน้ำหนักที่สมดุลกัน
- การค่อยๆ เหยียบคันเร่ง ระหว่างที่ผ่อนคลัทช์ จะช่วยให้การเลื่อนเกียร์นิ่มนวลขึ้น มันอาจต้องใช้เวลาฝึกหน่อย แต่พอคุณเข้าถึงความรู้สึกระหว่างคันเร่งและคลัทช์แล้ว มันจะกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ
- คุณจะใช้การฟังเสียงเอาก็ได้ ในการตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนเกียร์เมื่อไร
- คุณสามารถประหยัดเชื้อเพลิงและถนอมอายุการใช้งานเบรกได้ ด้วยการใช้วิธีเลื่อนเกียร์ต่ำลงเพื่อช่วยชะลอความเร็ว ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญ แรกๆ ก็เหยียบเบรกอย่างเดียวไปก่อนแล้วกัน
- เข้าเกียร์อะไรไว้ก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้เกียร์ถอยหรือเกียร์หนึ่ง หากคุณเข้าเกียร์ว่างไว้ รถอาจจะเคลื่อนได้ (หรือคุณจะใช้วิธีดึงเบรกมือก็ได้)
- ดึงกุญแจออกจากช่องสตาร์ท
ขั้นตอนที่ 5 ทำใบขับขี่
- ผ่านการสอบข้อเขียน
- ผ่านการทดสอบขับจริงระยะสั้น คือ การขับแบบพื้นฐานทั่วไป รวมถึงการจอดขนานและการกลับรถสามจังหวะ (K Turn)
- ผ่านการทดสอบสายตา
- ตรวจสอบข้อมูลจากกรมขนส่งฯ ในประเทศหรือมลรัฐที่คุณอยู่อีกครั้ง ถึงระเบียบขั้นตอนในการทำใบขับขี่
- ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ สิ่งนี้ต้องมาก่อนความสนุกสนาน อย่าทำอะไรที่เสี่ยง เช่น การอัดผู้โดยสารกันแน่นเกินขนาดที่นั่งของ การไม่รัดเข็มขัด หรือขับด้วยความประมาท
- ทักษะการขับรถของคุณ สามารถพัฒนาได้ พยายามจดอาไว้ว่าคุณยังอ่อนเรื่องไหน ไม่ว่าจะเรื่องการเลี้ยวให้นุ่มนวล หรือการให้สัญญาณไฟในจังหวะที่เหมาะสม และพยายามแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง
- ดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร ดูให้มั่นใจว่าพวกเขาวางตัวได้เหมาะสมก่อนออกรถ อย่าขับออกไปหากใครยังยื่นแขนออกนอกรถ ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย หรือมีกริยาไม่เหมาะสมใดๆ ก็ตาม
เคล็ดลับในการหัดขับรถ
- ดูวิธีการขับของผู้อื่น และหัดถามบ้าง ต่อให้ไม่มีอะไรดีเท่ากับการขับเอง แต่การถามจะช่วยให้คุณรู้เทคนิคและกฏบางข้อ
- หากเป็นไปได้ ควรปล่อยให้คันหลังที่ขับตามมาด้วยความเร็วสูงหรือขับอย่างคลุ้มคลั่ง แซงคุณไปก่อน
- พยายามสังเกตการณ์ล่วงหน้าให้รอบด้าน เช่น คนที่กำลังเปิดประตูลงจากรถ นักปั่นจักรยาน หรือเด็กๆ ที่กำลังเล่นอยู่ริมถนน และเตรียมพร้อมในการเบรกเสมอ
- เมื่อเห็นสัญญาณไฟเหลือง คุณควรหยุดรถหากทำได้อย่างปลอดภัย แต่หากมันกระชั้นชิดเกินไป การเร่งผ่านไปเลย จะปลอดภัยกว่าเบรกกะทันหัน
- เวลาถอยออกจากที่จอด ในลานจอดรถหรือริมถนน พยายามระวังเด็กเล็ก สัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กและสัตว์เลี้ยงที่อาจอยู่นอกทัศนะวิสัยของคุณ รวมถึงเด็กที่ขี่จักรยานหรือเล่นสเก็ตบอร์ด และก่อนจะเลี้ยวบริเวณแยก ก็ควรระวังคนข้ามถนนให้ดีด้วย
- เวลาที่ทัศนะวิสัยถูกบดบังโดยรถใหญ่ๆ บริเวณใกล้แยก หรือหัวมุมถนน คุณควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ก่อนที่จะเลี้ยว หรือข้ามแยก
- ระวังคนขี่จักรยานและมอเตอร์ไซค์ ที่ชอบขี่มาทางซ้ายของคุณ (ประเทศไทย) โดยเฉพาะเวลาจะเลี้ยวซ้าย หรือเข้าใกล้ทางโค้ง พยายามเว้นที่ให้พวกเขาสักนิด ในถนนที่แคบๆ
- เวลาที่ขับรถข้ามแยกใดๆ อย่าชะล่าใจหรือคิดว่าจะไม่มีรถคันใดวิ่งตัดขวางมา บางคนอาจเมา หรือไม่เห็นสัญญาณไฟ หรือเบรกแตก หรือสาเหตุใดก็ตาม คุณควรระวังและพร้อมเบรกไว้เสมอ
ข้อควรระวังในการขัดหับรถ
- หลีกเลี่ยงถนนใหญ่ หากคุณเป็นมือใหม่หัดขับ เพราะการจราจรมันคับคั่งและเป็นอันตรายแก่คนที่ไม่มีประสบการณ์ ในบางประเทศหรือมลรัฐ การหัดขับบนถนนใหญ่ถือว่าผิดกฎหมายและการออกใบขับขี่ของคุณอาจถูกระงับ หากถูกจับได้ ซึ่งในบางประเทศ หากคุณมีเพียงใบขับขี่แบบผู้เยาว์ ก็ไม่ควรขับบนถนนใหญ่ จนกว่าจะได้ใบขับขี่แบบปกติ
- ดื่มไม่ขับ หากดื่มแล้วขับ คุณอาจถูกตำรวจเรียกจับได้ เพราะนอกจากจะเป็นการเสี่ยงทำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิตแล้ว ยังเสี่ยงต่อชีวิตคุณด้วย
- อย่าขับยานพาหนะใดๆ ในระหว่างที่มีอาการจากสารเสพติดหรือแอลกอฮอล์
- อย่าขับยานพาหนะใดๆ เมื่อรู้สึกง่วงเพลีย จอดและหลับสักงีบก่อนดีกว่า
- รัดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งแม้ในเวลาที่ขับระยะสั้นๆ
- อย่าคุยโทรศัพท์ และส่งข้อความ หรือแชทขณะขับรถ เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
- ตรวจสอบช่วงเวลาเคอร์ฟิวในพื้นที่ๆ ที่คุณอยู่ด้วยว่า ห้ามออกมาขับรถเวลาไหน
เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับวิธีการหัดขับรถ สำหรับมือใหม่ หากคุณเรียนรู้วิธีการพื้นฐานที่ผ่านมา และทำไปเรีรื่อยๆจนชำนาญ เชื่อว่าการหัดขับรถคงไม่ยากเกินไป เพราะมีหลายๆคนที่ไม่ได้ไปเข้าโรงเรียนสอนขับรถ แต่ขับรถได้ดีและชำนาญในเวลาอันสั้น
ข้อแนะนำหากคุณหัดขับรถเกียร์ธรรมดาก็เรียนรู่การขับรถเกียร์ธรรมดาไปก่อนในช่วงแรก หากจะเปลี่ยนหรือสลับมาขับรถเกียร์ออโต้ในทันทีอาจจะทำให้สับสนได้ หวังว่าบทความวิธีการหัดขับรถ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังจะมีรถยนต์เป็นของตัวเอง แต่อย่างไรแล้ว ก็ควรระมัดระวังในการขับขี่ อย่าประมาณและอย่าทำผิดกฎจราจรเป็นอันขาด
ที่มาและการอ้างอิง