สำหรับเหรียญ BNB หรือ Binance Coin เป็น Native Token ของ Binance ซึ่งเป็นกระดานเทรดคริปโตรายใหญ่ของโลก หากนับผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มเปิดซื้อขายในเดือนพฤศจิกายน 2017 จนถึงปัจจุบัน (10 กุมภาพันธ์ 2021) สามารถสร้างผลตอบแทนได้แล้วกว่า 475,000%!! เลยทีเดียว นั่นทำให้เป็นที่สนใจของใครหลายๆคน มาดูกันว่าเหรียญ BNB (Binance Coin) มีความโดดเด่นอย่างไร ทำไมถึงเป็นที่สนใจและราคาพุ่งได้ขนาดนี้
กลไกทางฝั่งซัพพลายลดเพื่อเพิ่มมูลค่า
ทั้งนี้กลไกที่ทำให้เหรียญ BNB (Binance Coin) สามารถเติบโตได้อย่ารวดเร็วจนเป็นต้นแบบของ Native Token ประจำ Exchange ต่างๆก็คือการผสมผสานหลักการทางเศรษฐศาสตร์ในด้านซัพพลายและดีมานด์จนทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจภายใน Ecosystem ของ Binance
กลไกทางด้านซัพพลายก็คือการเผาเหรียญ (Burn) ทุกๆสามเดือนจากจุดเริ่มต้นที่มีซัพพลายทั้งหมด 200 ล้านเหรียญ Binance จะทำการทำลายทิ้งทุกๆสามเดือนโดยใช้ผลกำไรของบริษัทฯ 20% เข้าซื้อกลับ เพื่อให้สุดท้ายแล้วจำนวนซัพพลายทั้งหมดของ BNB (Binance Coin) จะเหลือเพียง 100 ล้านเหรียญที่หมุนเวียนในระบบ
สร้างบัญชี Binance ของคุณ
สมัครเข้าใช้งานเพื่อซื้อขายบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัล >> www.binance.com
วิธีการสมัครได้ที่และการยืนยันตัวตน รีวิวขั้นตอนการสมัคร Binance Exchange และขั้นตอนการ Verify
กลไกดังกล่าวคล้ายกับ Bitcoin ตรงที่ BTC นั้นสร้างขึ้นโดยจำกัดซัพพลายทั้งหมด 21 ล้าน BTC และจะทำการ Halving ทุกๆสี่ปีให้ซัพพลายใหม่ที่ออกมาลดลงไปเรื่อยๆ ขณะที่ความต้องการ Bitcoin เพิ่มขึ้นทุกปี เป็นสาเหตุให้หลังการทำ Halving ราคา Bitcoin จะพุ่งทำสถิติใหม่ทุกครั้ง
ส่วน Binance Coin นอกจากถูกสร้างให้มีจำนวนจำกัดแล้วยังทำการลดซัพพลายลงอย่างต่อเนื่องด้วยเพื่อที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับเหรียญในเชิงของความหายาก (Scarcitiy) จึงเห็นได้ว่าทุกครั้งที่มีการเผาเหรียญราคา Binance Coin จะขึ้นทุกครั้ง
เพิ่มความต้องการฝั่งดีมานด์ด้วยฟีเจอร์เฉพาะ
นอกจากการลดซัพพลายแล้ว การเพิ่มมูลค่าให้กับ Binance Coin จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดความต้องการหรือฝั่งดีมานด์ ซึ่งนี่คือจุดเด่นที่ทำให้ผู้ใช้งานมีความต้องการใน Binance Coin มาอย่างต่อเนื่อง
เริ่มตั้งแต่การนำไปใช้สะสมเพื่อเป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมในการเทรดแต่ละครั้ง สำหรับผู้ที่ซื้อขายบ่อยๆบน Binance การมีเหรียญอยู่จะช่วยให้ต้นทุนลดลงไปได้อย่างมาก
ที่สำคัญคือฟีเจอร์พิเศษที่เปิดให้ผู้ใช้งาน Binance สามารถแปลงเศษเหรียญอื่นๆที่อาจจะตกค้างจากากรทำรายการซื้อขายให้เป็น Binance Coin ได้ ซึ่งนอกจากช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานแล้วยังเป็นการสะสม BNB (Binance Coin) ทางอ้อมอีกด้วย
อีกหนึ่งความพิเศษของการมี BNB (Binance Coin) อยู่กับตัวคือสิทธิในการเข้าร่วมโครงการ Binance Launchpad ซึ่งทาง Binance เป็นผู้สนับสนุนโครงการบล็อกเชนต่างๆด้วยการเป็นผู้ระดมทุนให้หรือที่เรียกว่า IEO (Inticial Exchange Offering) ซึ่งใครที่ต้องการจะลงทุนในกลุ่มแรกๆจะต้องนำ BNB (Binance Coin) เข้ามาแลก ซึ่งหลายๆโปรเจกต์ที่เกิดใน Launchpad สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างดีเช่น Band Protocol ซึ่งเป็นโปรเจกต์ฝีมือคนไทยที่สร้างผลตอนหลักพันเปอร์เซ็นต์
เพียงเก็บเหรียญ BNB (Binance Coin) ไว้กับตัวก็ได้ผลตอบแทน
นอกจากนำไปใช้งานแล้ว เพียงแค่ถือ BNB (Binance Coin) ไว้แล้วนำไปฝากไว้กับฟีเจอร์อย่าง BNB Vault ซึ่งเปิดให้นำเหรียญมาทำการ Staking ก็จะได้รับผลตอบแทนประมาณ 5-8% ต่อปีซึ่งถือว่าสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบันค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ยังใช้ในการ Saving ผ่านฟีเจอร์ Binance Earn ซึ่งให้ผลตอบแทนต่อปีที่สม่ำเสมอ ขณะเดียวกัน BNB (Binance Coin) ยังสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งของ Binance Smartchain ซึ่งเป็นเครือข่ายบล็อกเชนของทาง Binance เอง ซึ่งเปิดตัวออกมาในช่วงเวลาที่กระแสของ Decentralize Finance หรือ DeFi กำลังมาแรงเป็นอย่างมาก
ฟีเจอร์ที่มีอยู่ใน Binance Smartchain ก็คือ DEX หรือ Decentralize Exchange ที่ Binance แยกออกไปไม่เกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Centralize Exchange ที่ตัวเองดูแลอยู่ และยังสามารถนำ BNB (Binance Coin) ไปใช้ในการทำ Liquid Swap เพื่อรับผลตอบแทน ใน Binance Liquid Swap และ DeFi Staking ได้อีก
สร้างบัญชี Binance ของคุณ
สมัครเข้าใช้งานเพื่อซื้อขายบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัล >> www.binance.com
วิธีการสมัครได้ที่และการยืนยันตัวตน รีวิวขั้นตอนการสมัคร Binance Exchange และขั้นตอนการ Verify
บทสรุปก็คือผู้ที่ถือเหรียญ BNB (Binance Coin) ไว้กับตัวแทบนอกจากจะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆภายในแพลตฟอร์มของ Binance ที่ไม่สามารถหาได้จากไหนแล้วยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนทั้งในระยะสั้นระยะยาว แบบ Active และ Passive Income ได้อีกต่างหาก
หากมีความเชื่อมั่นในการเติบโตของ Binance ก็สามารถบอกได้ว่าเหรียญ BNB (Binance Coin) ก็จะมีการเติบโตไปในแนวเดียวกันนั้นเช่นกัน